สมาคมแบน3สตาฟฟ์ทีมชาติไทย พัก2นักเตะทีมชาติครึ่งปีเหตุทะเลาะวิวาทซีเกมส์
สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยที่ตั้งอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ได้เผยแพร่การลงโทษในกรณีของเจ้าหน้าที่ทีมชาติไทยและนักกีฬาตามที่คณะกรรมการสืบสวนสอบสวนจรรยาได้สอบสวนเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในการแข่งขันกีฬาฟุตบอลทีมชาติไทยในการแข่งขันชายซีเกมส์ครั้งที่ 32 ในปี 2023 ที่จัดขึ้นในประเทศกัมพูชา นัดชิงชนะเลิศระหว่างทีมชาติไทยและทีมชาติอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2566 ณ เมืองพนมเปญ ประเทศกัมพูชา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นขณะที่เหตุการณ์เกิดขึ้นหรือหลังจากเกิดเหตุ ส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อภาพลักษณ์ของวงการกีฬาฟุตบอลไทยและประเทศไทยอย่างไม่น้อย
คณะกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงซึ่งมี พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน เป็นประธานได้ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานและสืบสวนสอบสวนตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2566 และเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 โดยคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า แม้ว่า นายประสบโชค โชคเหมาะ ผู้ฝึกสอนผู้รักษาประตู, นายมายีด หมัดอะด้ำ เจ้าหน้าที่ทีม และนายภัทราวุธ วงษ์ศรีเผือก เจ้าหน้าที่ทีม ซึ่งโดยตำแหน่งหน้าที่ความรับผิดชอบนอกจากจะทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนนักกีฬาฟุตบอลหรือปฏิบัติหน้าที่อื่นตามความรับผิดชอบในทีมฟุตบอล ก็ยังมีหน้าที่ควบคุมกำกับและดูแลพฤติกรรมความประพฤติของนักกีฬาฟุตบอลอีกด้วย โดยใช้ความรู้ ประสบการณ์ วัยวุฒิ คุณวุฒิ และวุฒิภาวะเพื่อปฏิบัติหน้าที่นี้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะทีมชาติชุดนี้เป็นชุดรุ่นอายุไม่เกิน 22 ปี ซึ่งถือว่ายังเยาว์วัย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดี คณะกรรมการจะตักเตือนและสั่งสอนอบรมนักกีฬาที่ประพฤติปฏิบัติไม่ถูกต้องหรือมีพฤติการณ์ที่ส่อว่าจะประพฤติปฏิบัติไม่ถูกต้อง หากพบว่าเป็นผู้นำในการกระทำผิดหรือเข้าร่วมในการกระทำผิดเสียเองเช่นในกรณีนี้ จะไม่มีเหตุผลอันควรให้พ้นจากการลงโทษ และอาศัยอำนาจตามระเบียบข้อบังคับว่าด้วยจรรยาสำหรับนักกีฬาอาชีพและบุคลากรกีฬาอาชีพในการดูแลของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ พ.ศ. 2560 แก้ไขเพิ่มเติม (ครั้งที่ 1) พ.ศ. 2565 หมวด 1 จรรยาของนักกีฬาอาชีพและบุคลากรกีฬาอาชีพ ข้อ 3 (4) และ (11) หมวด 2 กลไกและระบบการบังคับใช้จรรยา ข้อ 7 ประกอบกับ หมวด 3 บทกำหนดโทษ ข้อ 10.9 เห็นควรลงโทษโดย “พักการปฏิบัติหน้าที่ในนามทีมชาติไทยทุกชุดเป็นเวลา 1 ปี”
สำหรับนายโสภณวิชญ์ รักญาติ นักกีฬาฟุตบอลทีมชาติไทยในตำแหน่งผู้รักษาประตูและนายธีรภักดิ์ เปรื่องนา ผู้เล่นสำรองทีมชาติไทยหมายเลข 18 ที่เข้าร่วมกระทำผิดด้วย ตัวทั้งสองคนนี้นอกจากตกอยู่ในสภาวะกดดันทางจิตใจ โดยเนื่องจากผลการแข่งขันและเหตุการณ์ที่ยั่วยุให้เกิดเหตุรุนแรง ภายหลังเกิดเหตุ พวกเขาได้รับรู้สึกผิดและออกมาขอโทษต่อสาธารณะ ทั้งสองยังอยู่ในช่วงวัยเยาว์ โดยนายโสภณวิชญ์มีอายุ 22 ปี และนายธีรภักดิ์มีอายุ 21 ปี จึงมีเหตุผลอันควรปรานีให้พ้นจากการลงโทษ อาศัยอำนาจตามระเบียบข้อบังคับว่าด้วยจรรยาสำหรับนักกีฬาอาชีพและบุคลากรกีฬาอาชีพในการดูแลของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ พ.ศ. 2560 แก้ไขเพิ่มเติม (ครั้งที่ 1) พ.ศ. 2565 หมวด 1 จรรยาของนักกีฬาอาชีพและบุคลากรกีฬาอาชีพ ข้อ 3 (4) และ (11) หมวด 2 กลไกและระบบการบังคับใช้จรรยา ข้อ 7 ประกอบกับ หมวด 3 บทกำหนดโทษ ข้อ 10.8 เห็นสมควรลงโทษโดย “พักการปฏิบัติหน้าที่ (เข้าร่วมแข่งขัน) ในนามทีมชาติไทยทุกชุดเป็นเวลา 6 เดือน”